ทำประกันชีวิตให้ลูก
ลูกร้องไห้ดังมาก ผมใช้มือแตะที่หน้าผากลูกก็รู้ว่าตัวร้อนจัด “ลูกไม่สบายแล้ว !.. ทำไงดีหละ..”
แฟนผมใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลูกอ่อนหลายครั้งหลายชั่วโมง แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย เราจึงตัดสินใจไปพาลูกไปโรงพยาบาลในคืนนั้นทันที
พอถึงโรงพยาบาลก็รีบเข้าห้องตรวจ สักพักพยาบาลได้บอกว่า ถ้าอาการเด็กไม่ดีขึ้นคืนนี้ต้องพักรักษาจนกว่าไข้จะลดลงนะคะ ผมตกใจมากคิดไปต่างๆ นาๆ กลัวลูกเป็นอะไร เพราะตอนนั้นมีหลายโรคแรงๆ ที่ระบาดเกิดขึ้นกับเด็ก เช่น โรคมือ เท้า ปาก ไข้เลือดออก อีโบลา เ ป็นโรคที่น่ากลัวทั้งนั้น
“สาธุ สาธุ.. อย่าให้ลูกเป็นอะไรเลย..”
ระหว่างที่พวกเรารอเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เพื่อแอดมิดลูกเป็นผู้ป่วยใน เจ้าหน้าที่ได้ถามคำถามแรกกับเราสองคนว่า “พี่ได้ทำประกันให้กับลูกหรือเปล่าครับ ?..”
ผมรีบตอบไปทันทีว่า “มีครับ.. ทำไว้เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้วครับ” ทางโรงพยาบาลได้ขอรายละเอียดเพื่อนำข้อมูลไปเช็คด่วน
ผมจึงรีบโทรหาตัวแทนประกันที่ผมทำประกันไว้ทันที
สรุปว่าผมโชคดีมาก ที่ผมได้ทำประกันสุขภาพให้ลูกก่อนหน้านั้นนิดเดียว ทำให้ผมไม่ต้องกังวลเรื่องภาระค่าใช่จ่ายในการรักษาลูก
ลูกอยู่โรงพยาบาลทั้งหมด 3 วัน 2 คืน หมอตรวจดูแล้วไม่พบโรคร้ายแรงใดๆ ลูกก็อาการดีขึ้นมาก หมอจึงให้กลับบ้านได้
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกือบ 30,000 บาท เราจ่ายส่วนต่างนิดหน่อยแค่หลักพันบาทครับ
ผมและแฟนมองหน้ากัน แล้วนึกถึงวันนั้นที่เราพยายามรวบรวมเงินและไม่รีรอที่จะ
“ทำประกันชีวิต+สุขภาพให้ลูกเลยตอนหลังคลอด..”
ผมไม่ได้นึกเสียดายเงินที่ต้องหามาจ่ายเบี้ยประกันเลยครับ เพราะเราได้โยนความเสี่ยงภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาลูก ทั้งหมดไปที่บริษัทประกันชีวิตนั่นเอง
“อ้าว.. ใครยังไม่ได้ทำประกันให้ลูก รีบโทรไปหาตัวแทนเดี๋ยวนี้เลยครับ ก่อนที่จะสายเกินแก้..
หรือจะติดต่อผมก็ได้นะครับ ผมก็เป็นตัวแทน..555″